ตลอดชีวิตการค้าแข้งของ ไมเคิล โอเว่น มีช่วงเวลาที่โดดเด่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำประตูใส่อาร์เจนตินาในฟุตบอลโลกปี 1998, การยิงประตูในเกมเอล กลาสิโก้, หรือการทำประตูชัยในแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่โอเว่นประทับใจที่สุดคือ นัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 2001 ที่ลิเวอร์พูลพบกับอาร์เซน่อล ที่สนามมิลเลนเนียม สเตเดี้ยม
ก่อนเกมจะเริ่ม นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการทีมของทั้งสองฝ่ายในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพไม่ได้มาจากสหราชอาณาจักรหรือไอร์แลนด์ ผู้จัดการทีมของลิเวอร์พูลคือเชราร์ อุลลิเยร์ จากฝรั่งเศส ส่วนอาร์เซน่อลมีอาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ลิเวอร์พูลดูจะเป็นรอง เนื่องจากช่วงเวลานั้นเป็นยุคทองของอาร์เซน่อล ที่มีผู้เล่นอย่างเธียร์รี่ อองรี, โรแบร์ ปิแรส, เฟรดริก ลุงเบิร์ก และปาทริก วิเอร่า อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลเต็มไปด้วยความมั่นใจ หลังจากที่พวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์ลีกคัพ และหากสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพ และยูฟ่าคัพที่ตามมาได้ ก็จะเป็นการคว้าสามแชมป์ในฤดูกาลเดียว ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติอันยอดเยี่ยม
ก่อนถึงนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ มีเหตุการณ์ “Boots Row” เกิดขึ้น เนื่องจากโอเว่นต้องการเปลี่ยนรองเท้าสตั๊ดใหม่สำหรับนัดชิงโดยเฉพาะ ช่วงสุดท้ายของฤดูกาล โอเว่นทำประตูได้อย่างต่อเนื่องในสามนัดสุดท้าย โดยยิงแบรดฟอร์ดได้ 1 ประตู, ยิงนิวคาสเซิล 3 ประตู, และยิงเชลซี 2 ประตู เมื่อถึงนัดชิง เอฟเอคัพ โมเมนตัมทุกอย่างกำลังเป็นใจ
หนึ่งสัปดาห์ก่อนแข่ง ไซม่อน มาร์ช ผู้จัดการส่วนตัวของโอเว่น ได้นำสตั๊ดคู่ใหม่จากแบรนด์อัมโบรมามอบให้ ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษที่กำลังจะวางขายในเร็ว ๆ นี้ อัมโบรเห็นว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะเปิดตัวรองเท้ารุ่นใหม่ในเกมนัดชิงเอฟเอคัพ ที่มีผู้ชมทั่วโลกถึง 600 ล้านคน และโอเว่นก็ตกลงที่จะใช้สตั๊ดคู่ใหม่นี้
แต่ปัญหาเกิดขึ้นในระหว่างการฝึกซ้อม เมื่อฟิล ทอมป์สัน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลสังเกตเห็นการเปลี่ยนรองเท้าของโอเว่น จึงแจ้งอุลลิเยร์ อุลลิเยร์เรียกโอเว่นมาคุยและถามว่า “นายกำลังทำอะไร” โอเว่นตอบว่า “นี่คือรองเท้าคู่ใหม่ที่ผมจะใส่ในสุดสัปดาห์นี้” แต่เชราร์ อุลลิเยร์ ตอบกลับด้วยความหนักแน่นว่า “นายจะไม่ใส่รองเท้าคู่นี้” ซึ่งโอเว่นตอบกลับว่า “ผมไม่มีทางเลือก เพราะอัมโบรขอให้ผมทำแบบนี้” แต่สุดท้ายอุลลิเยร์ยืนกรานว่า “นายต้องใส่รองเท้าคู่ที่นายทำผลงานได้ดีเท่านั้น”
ในมุมมองของอุลลิเยร์ อุปกรณ์ที่ใช้งานได้ดีอยู่แล้วไม่ควรเปลี่ยน และรองเท้าสตั๊ดก็ถือเป็นอาวุธคู่ใจของผู้เล่น โอเว่นจึงต้องยอมตามคำสั่งของโค้ช เพราะหากขัดคำสั่ง เขาอาจจะเสี่ยงถูกเปลี่ยนตัวออกและให้ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ลงสนามแทน
วันที่ 12 พฤษภาคมมาถึง สนามมิลเลนเนียม สเตเดี้ยมที่เวลส์มีผู้ชมเต็มความจุ 72,500 ที่นั่ง ทั้งสองทีมลงสนามด้วยระบบ 4-4-2 อาร์เซน่อลมีผู้เล่นอย่างเดวิด ซีแมน, แอชลีย์ โคล, โทนี่ อดัมส์, มาร์ติน คีโอว์น, ลี ดิ๊กซัน, ชิลส์ กริม็องดี้, ปาทริก วิเอร่า, เฟรดริก ลุงเบิร์ก, โรแบร์ ปิแรส, ซิลแว็ง วิลตอร์ และ เธียร์รี อองรี ลิเวอร์พูลใช้ระบบเดียวกันกับซานเดอร์ เวสเตอร์เวลด์เป็นผู้รักษาประตู, เจมี่ คาร์ราเกอร์เล่นแบ็กซ้าย, คู่เซ็นเตอร์คือซามี่ ฮูเปีย และสเตฟาน อองโชซ์, มาร์คุส บับเบิ้ลเป็นแบ็กขวา, กองกลางประกอบด้วยดีทมาร์ ฮามันน์และสตีเว่น เจอร์ราร์ด, ตัวรุกซ้ายเป็นวลาดิเมียร์ ซมิเซอร์, ตัวรุกขวาเป็นแดนนี่ เมอร์ฟี่, ส่วนคู่หน้าเป็นเอมิล เฮสกีย์และไมเคิล โอเว่น
ในเกมนี้ ลิเวอร์พูลถูกอาร์เซน่อลกดดันอย่างหนักตั้งแต่ครึ่งแรก อาร์เซน่อลคุมเกมได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้นพวกเขายังโชคดีในนาทีที่ 17 เมื่ออองรีล็อกหลบเวสเตอร์เวลด์และยิงไปที่เสาแรก ซึ่งถูกอองโชซ์สกัดออกหลัง แต่จากภาพช้าแสดงให้เห็นว่าบอลโดนแขนของอองโชซ์ แต่กรรมการและไลน์แมนไม่เห็น จึงยกประโยชน์ให้ลิเวอร์พูลไป
ในครึ่งหลัง อาร์เซน่อลยังคงกดดันลิเวอร์พูลอย่างต่อเนื่อง แอชลีย์ โคลได้ยิงโล่ง ๆ แต่ซามี่ ฮูเปียสกัดออกจากเส้นได้สำเร็จ อาร์เซน่อลบุกอย่างหนักและในที่สุดก็ขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 72 จากการหลุดเข้าไปยิงของลุงเบิร์ก
ถึงจุดนี้ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลไม่มีทางกลับมาได้ เพราะอาร์เซน่อลเล่นได้ดีกว่ามาก เชราร์ อุลลิเยร์ตัดสินใจเปลี่ยนตัวสำรองลงมาพร้อมกัน 2 คน คือแพทริก แบร์เกอร์และร็อบบี้ ฟาวเลอร์ในนาทีที่ 77 แต่ก็ยังไม่มีใครมองเห็นว่าจะมีวิธีใดที่จะทำให้ลิเวอร์พูลกลับมาได้
จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมเกิดขึ้นในนาทีที่ 83 เมื่อเจมี่ คาร์ราเกอร์ตัดสินใจดันขึ้นมาช่วยเกมรุก และเรย์ พาร์เลอร์ของอาร์เซน่อลต้องตัดฟาวล์ที่ริมเส้นด้านซ้าย ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิก ซึ่งเป็นจังหวะที่แกรี่ แม็คคัลลิสเตอร์ ตัวสำรองบอมบ์บอลเข้าไปในกรอบเขตโทษ โอเว่นที่ยังไม่ได้ยิงเลยในเกมนี้พบว่าบอลตกมาตรงหน้าและวอลเลย์ด้วยขวาเข้าประตูไป ตีเสมอ 1-1
โอเว่นคิดในใจว่า “เราชนะได้” และวินาทีต่อมาเขาคิดว่า “ฉันจะยิงประตูชัยด้วย”
หลังจากโดนตีเสมอ อาร์เซน่อลเดินหน้าบุกอีกครั้งเพื่อหาประตูนำ ลิเวอร์พูลลงไปตั้งรับอย่างเต็มที่ และในนาทีที่ 88 ก็เกิดประตูที่คลาสสิคที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์เอฟเอคัพ
อาร์เซน่อลบอมบ์ฟรีคิกเข้าไป ลิเวอร์พูลสกัดได้ บอลไปเข้าทางแพทริก แบร์เกอร์ บริเวณหน้ากรอบเขตโทษฝั่งตัวเอง โอเว่นเล่าถึงเหตุการณ์นี้ในอัตชีวประวัติของเขาอย่างละเอียด เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เขาไม่เคยลืม
“บอลเด้งมาที่แพทริก แบร์เกอร์ เขามองหาอ็อปชั่นทั่วสนาม เหมือนควอเตอร์แบ็กใน NFL ที่มองหาปีกนอก ณ เวลานั้น ผมยืนอยู่บริเวณวงกลมกลางสนาม ผมกับแพทริกเรามองตากัน วินาทีนั้นผมสปรินท์ออกตัวทันที เขาวางบอลยาวมาจากแดนตัวเองในน้ำหนักที่เพอร์เฟ็กต์มาก” เดิมพัน FA Cup ได้แล้ววันนี้ที่ SBOTOP