เอ็นโซ่ มาเรสก้า ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในกุนซือชาวอิตาลีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในต่างแดนอย่างรวดเร็ว หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีม เชลซี ฤดูกาลแรก เขาสามารถสร้างผลงานระดับมาสเตอร์พีซได้ทันที ด้วยการพา “สิงโตน้ำเงินคราม” ผงาดคว้าแชมป์ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก พร้อมคว้าตั๋วไปลุย ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2026/27 ได้สำเร็จ
ความสำเร็จนี้ไม่เพียงเกินความคาดหมายของแฟนบอล แต่ยังเกินเป้าหมายที่ผู้บริหารของเชลซีตั้งไว้ในปีแรกของการทำทีมอีกด้วย โดยมาเรสก้าเผยว่าเขาภูมิใจและมีความสุขที่สามารถตอบแทนความไว้วางใจของสโมสรได้เร็วเกินคาด
แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันน่าทึ่งนี้คือการเรียนรู้จากปรมาจารย์ลูกหนังระดับตำนานหลายคน ทั้ง มาร์เซลโล่ ลิปปี้, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ โยฮัน ครัฟฟ์ ซึ่งล้วนมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อแนวคิดและปรัชญาการคุมทีมของเขา
ปรัชญาแห่งชัยชนะ: บทเรียนจากครัฟฟ์และกวาร์ดิโอล่า
มาเรสก้าเริ่มต้นเส้นทางโค้ชด้วยบทบาทผู้ช่วยให้กับกุนซือชื่อดังอย่าง วินเชนโซ่ มอนเตลล่า, มานูเอล เปเยกรินี่ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยเฉพาะกับเป๊ปที่เขายอมรับว่าเป็นแรงบันดาลใจสำคัญด้านแท็คติก
หนึ่งในคำคมของ โยฮัน ครัฟฟ์ ที่เขานำมาเป็นคติประจำใจในการทำทีม คือคำพูดที่ว่า:
“สถิติชี้ว่าผู้เล่นจะได้ครองบอลแค่ประมาณ 3 นาทีต่อเกม แล้วอีก 87 นาทีล่ะ? คุณจะมีคุณค่ากับทีมในช่วงเวลานั้นอย่างไร? นั่นคือสิ่งที่แยกผู้เล่นดีออกจากผู้เล่นธรรมดา”
มาเรสก้านำคำพูดนี้ไปติดไว้บนผนังห้องแต่งตัวของทั้งเลสเตอร์ ซิตี้ และเชลซี เพื่อเตือนใจนักเตะให้เข้าใจว่า ความสามารถที่แท้จริงไม่ได้วัดกันเฉพาะตอนมีบอลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมกับเกมอย่างสร้างสรรค์แม้จะไม่ได้ครองบอล
ลิปปี้กับศาสตร์แห่งการสร้างแรงบันดาลใจ
หากกวาร์ดิโอล่าคืออาจารย์ด้านแท็คติก ลิปปี้ก็คือปรมาจารย์ด้าน “จิตวิทยานักเตะ” สำหรับมาเรสก้า เขากล่าวอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากมาร์เซลโล่ ลิปปี้ คือวิธีสร้างแรงจูงใจเฉพาะบุคคล
“ลิปปี้เก่งมากในการพูดคุยกับนักเตะแต่ละคนแบบตัวต่อตัว เขาทำให้ทุกคนรู้สึกมีคุณค่าและได้รับแรงผลักดันอย่างแท้จริง ผมพยายามนำแนวทางนั้นมาใช้กับทีมของผม” มาเรสก้ากล่าว
นอกจากแท็คติกและจิตวิทยา มาเรสก้ายังมีแนวทางบริหารทีมที่เน้นการพัฒนาเยาวชน ซึ่งเป็นอีกจุดแข็งที่เชลซีเห็นและเชื่อมั่นจนตัดสินใจแต่งตั้งเขาเป็นกุนซือ
ปั้นดาวรุ่งสู่เวทีใหญ่: เคสโคล พาลเมอร์
ประสบการณ์ของมาเรสก้าในการคุมทีมเยาวชน U-23 ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เขามีสายตาเฉียบคมในการเฟ้นหานักเตะดาวรุ่งที่มีศักยภาพ หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของเขาคือ โคล พาลเมอร์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นดาวรุ่งเบอร์หนึ่งของเชลซี
“ตอนที่ผมคุมทีมเยาวชนของซิตี้ โคลเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์มากที่สุด ผมตั้งใจพัฒนาเขาให้ถึงที่สุด และวันนี้ที่เชลซี ผมก็ยังทำแบบนั้น” มาเรสก้ากล่าว
นอกจากนี้เขายังปกป้องเจ้านายเก่าอย่างเป๊ป กวาร์ดิโอล่าที่ถูกวิจารณ์ในฤดูกาลนี้ว่า “ตกยุค” โดยมาเรสก้าเชื่อว่าเป๊ปยังคงเป็นกุนซือที่เก่งที่สุดในโลกแม้จะมีฤดูกาลที่ไม่สมบูรณ์แบบ
“หลังจากคว้าความสำเร็จมากมายมา 8 ฤดูกาล การมีปีที่ไม่ดีที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับผม เป๊ปยังคงเป็นอัจฉริยะ ผมเห็นฟุตบอลผ่านสายตาของเขา และผมจะไม่มีวันลืมสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเขา”
สรุป: เส้นทางสู่ความสำเร็จของมาเรสก้า
เอ็นโซ่ มาเรสก้า ไม่ใช่แค่โค้ชทั่วไป เขาคือกุนซือที่ผสมผสานปรัชญาจากตำนานลูกหนังหลายยุคอย่างแยบยล เขาเชื่อในการพัฒนานักเตะ การทำงานหนัก และการสร้างทีมที่สมดุลทั้งด้านแท็คติกและจิตวิทยา
ภายใต้การนำของเขา เชลซีไม่ได้เพียงแค่คว้าแชมป์ยุโรปใบเล็ก แต่ยังกลับมาอยู่ในแถวหน้าของเวทีฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง พร้อมปูทางสู่อนาคตที่สดใสในยุคของกุนซือชาวอิตาลีผู้นี้
อ่านด้วย :