ตำนานผู้จัดการทีมของ Manchester United อย่าง Sir Alex Ferguson เคยมีเรื่องราวเบื้องหลังที่น้อยคนนักจะรู้ เมื่อเขาถูกกล่าวหาว่าเมินเฉยต่อนักเตะรายหนึ่งของ Liverpool เป็นเวลานานกว่าสองทศวรรษ เหตุทั้งหมดเริ่มจาก “คำพูดไม่เหมาะสม” เพียงประโยคเดียวที่ไปเข้าหูชายผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเคร่งครัดและศักดิ์ศรี
ในโลกของฟุตบอลอังกฤษ ความเป็นปรปักษ์ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับลิเวอร์พูล คือหนึ่งในศึกที่ร้อนแรงที่สุด ทั้งในสนามและนอกสนาม จากคำประกาศในตำนานของเฟอร์กูสันที่ว่าเขาจะ “โค่นลิเวอร์พูลจากบัลลังก์” ไปจนถึงสงครามวาทะกับกุนซือคู่แข่งในงานแถลงข่าว ชายชาวสกอตแลนด์รายนี้ถูกยกให้เป็นเจ้าแห่งเกมจิตวิทยาอย่างแท้จริง
เบื้องหลังเหตุการณ์ที่ถูกลืมเลือนจากฤดูกาล 1991/1992
ท่ามกลางเรื่องเล่ามากมาย ยังมีเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึง ซึ่งย้อนกลับไปในช่วงท้ายฤดูกาล 1991/1992 ฤดูกาลสุดท้ายของดิวิชันสูงสุดอังกฤษก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีก เหตุการณ์นั้นเกี่ยวพันกับ Gary McAllister ซึ่งในเวลานั้นยังค้าแข้งให้กับ Leeds United
ในคืนสำคัญดังกล่าว แม็คอัลลิสเตอร์รับชมเกมระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่บ้านของเพื่อนร่วมทีมอย่าง ลี แชปแมน โดยมีแขกร่วมวงอีกหลายคน รวมถึง Eric Cantona และ เดวิด แบตตี เกมนั้นมีความหมายอย่างยิ่ง เพราะหากยูไนเต็ดพ่ายแพ้ ลีดส์จะคว้าแชมป์ลีกทันที
ผลการแข่งขันเป็นไปตามที่แฟนลีดส์หวัง ลิเวอร์พูลเอาชนะยูไนเต็ด 2-0 และส่งให้ลีดส์ ยูไนเต็ด ผงาดคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งอย่างเป็นทางการ บรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองจึงเกิดขึ้นในบ้านหลังนั้น
คำพูดเล่น ๆ ที่กลายเป็นแผลใจยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแห่งความสุขนั้นเอง แม็คอัลลิสเตอร์ได้พูดประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่คิดว่าจะส่งผลยาวนาน เขาเล่าว่าในขณะนั้นสามารถได้ยินเสียงสื่อสารจากห้องถ่ายทอดสดที่แอนฟิลด์ผ่านทีวี
เมื่อเฟอร์กูสันปรากฏตัวบนหน้าจอด้วยสีหน้าหงุดหงิด พร้อมกล่าวว่า “ผมอยากชี้แจงให้ชัด ลีดส์ไม่ได้ชนะลีก แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายทำมันหลุดมือไปเอง” แม็คอัลลิสเตอร์จึงพูดแซวขึ้นมาในวงสนทนา
“หน้าแดงใหญ่แบบนั้น อย่างเคย ดูไม่ค่อยสง่างามเวลาพ่ายแพ้เลย” เขากล่าวอย่างขบขัน
สิ่งที่เขาไม่รู้ในตอนนั้นคือ เสียงพูดดังกล่าวไม่ได้เป็นความลับอย่างที่คิด เพราะ Denis Law ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายอยู่ ได้แจ้งเตือนผ่านช่องสื่อสารว่า “แกรี เฟอร์กี้ได้ยินที่นายพูดนะ”
สองทศวรรษแห่งความเงียบงัน
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างเฟอร์กูสันกับแม็คอัลลิสเตอร์ก็เหมือนถูกตัดขาด อดีตกองกลางทีมชาติสกอตแลนด์เผยว่า เขาไม่เคยได้รับคำทักทายจากเฟอร์กูสันอีกเลย เป็นเวลานานกว่า 20 ปี
“เขาเดินผ่านผมที่สนามบินในลิทัวเนีย และที่โรงแรมในแอลเบเนีย แต่ไม่เคยหันมามองหรือพูดอะไรสักคำ” แม็คอัลลิสเตอร์เล่าย้อนความหลังด้วยรอยยิ้ม
เรื่องดังกล่าวสะท้อนบุคลิกของเฟอร์กูสันที่ชัดเจน ในสายตาของเขา เมื่อคุณเป็นคู่แข่ง คุณคือศัตรู และศักดิ์ศรีคือสิ่งที่ไม่อาจต่อรองได้
จุดเปลี่ยนในปี 2006 เมื่อมนุษยธรรมมาก่อนฟุตบอล
แม้จะเงียบหายจากกันยาวนาน แต่ความบาดหมางดังกล่าวก็สิ้นสุดลงในปี 2006 หลังภรรยาของแม็คอัลลิสเตอร์ เดนิส เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เหตุการณ์นั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเฟอร์กูสัน
“นี่แหละคือขนาดที่แท้จริงของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” แม็คอัลลิสเตอร์กล่าว
“ตอนคุณเป็นคู่แข่ง คุณคือศัตรูของเขา แต่ในวันที่ผมเจอช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต ใครคือคนแรกที่โทรมาหาผม? อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน”
เฟอร์กูสันไม่เพียงโทรศัพท์มาให้กำลังใจ แต่ยังเชิญเขาไปที่ศูนย์ฝึกคาร์ริงตัน และเปิดโอกาสให้เข้า Old Trafford ได้ทุกเมื่อ
มรดกของผู้นำที่ซับซ้อน
แม็คอัลลิสเตอร์ยังเล่าเพิ่มเติมว่า การ์ดแสดงความเสียใจใบแรกที่เขาได้รับ มาจากภรรยาของเฟอร์กูสัน เรื่องราวทั้งหมดทำให้เขาเข้าใจว่า ภายใต้ภาพลักษณ์ของผู้จัดการทีมที่แข็งกร้าวและทะเยอทะยาน ยังมีด้านอ่อนโยนที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่
“ในสนาม เขาแข็งแกร่งและไม่ประนีประนอม แต่เบื้องหลัง เขาเป็นคนที่มีหัวใจอ่อนโยนอย่างเหลือเชื่อ” แม็คอัลลิสเตอร์กล่าวปิดท้าย
เรื่องเล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความเข้มข้นของศึกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด–ลิเวอร์พูล แต่ยังเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ชายผู้ไม่เคยลืมศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งความเป็นมนุษย์เมื่อถึงเวลาสำคัญที่สุด