SBOTOP : ทำไมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักเสียความได้เปรียบหลังขึ้นนำเกม

SBOTOP : ทำไมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักเสียความได้เปรียบหลังขึ้นนำเกม

ชัยชนะ 2-1 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหนือคริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนที่แล้ว อาจสร้างความพอใจให้กับ รูเบน อาโมริม ในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่ของปีศาจแดง อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังผลการแข่งขันที่ดูดี กลับซ่อนปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข นั่นคือความสามารถในการควบคุมเกมหลังจากทีมขึ้นนำคู่แข่ง

ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่กลายเป็นรูปแบบที่เห็นซ้ำตลอดฤดูกาล 2025/26 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มักเป็นฝ่ายทำประตูขึ้นนำก่อน ทว่าไม่สามารถรักษาความได้เปรียบไว้ได้ จนสุดท้ายเปิดโอกาสให้คู่แข่งกลับเข้าสู่เกมและตีเสมอหรือพลิกสถานการณ์

คำยอมรับจากอาโมริม หลังเสียแต้มสำคัญ

หลังเกมเสมอ 1-1 กับฟูแล่ม เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รูเบน อาโมริม ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าทีมของเขามัก “ลืมวิธีการเล่น” เมื่อได้ประตูนำ

“เมื่อเราทำประตูได้ เรากลับลืมแนวทางการเล่นที่ควรรักษาไว้ เราคิดแค่ว่าจะป้องกันผลการแข่งขัน และความกระหายในการคว้าชัยชนะ ทำให้เราลืมการครองบอลและการดันคู่แข่งให้อยู่แดนตัวเอง” อาโมริม กล่าว

คำพูดดังกล่าวสะท้อนภาพรวมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้ ที่มักถอยเกมโดยไม่ตั้งใจ และปล่อยให้คู่แข่งมีพื้นที่และจังหวะในการโจมตีมากขึ้น

เสียสมดุลในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ต้องจ่ายราคาแพง

สถานการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นอีกครั้งในเกมเสมอ 2-2 กับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และท็อตแนม ฮ็อตสเปอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะเกมที่ซิตี้ กราวด์ ซึ่งอาโมริมชี้ว่าความผิดพลาดเพียงไม่กี่นาที กลับส่งผลร้ายแรง

“เราเสียการควบคุมเกมไปเพียงห้านาที และเราต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับสิ่งนั้น” เขากล่าวหลังเกม

ความเปราะบางยังปรากฏชัดในเกมเสมอ 1-1 กับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อประตูท้ายเกมของซุงกูตู มักกัสซา ในนาทีที่ 83 ทำให้แมนยูพลาดชัยชนะ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเป็นฝ่ายครองความได้เปรียบ

เกมสุดดราม่ากับบอร์นมัธ จุดแตกหักของฤดูกาล

จุดสูงสุดของปัญหาเกิดขึ้นในเกมเสมอสุดดราม่า 4-4 กับบอร์นมัธ เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เกมดังกล่าวสะท้อนจุดอ่อนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างชัดเจน ตั้งแต่การไม่สามารถขยายสกอร์ในครึ่งแรก การเสียสมาธิช่วงต้นครึ่งหลัง ไปจนถึงการรักษาสกอร์นำ 4-3 ในช่วงท้ายเกมไม่อยู่

“หลายคนอาจคิดว่าเราทำแต้มหลุดมือในครึ่งหลัง แต่ผมมองว่าเราพลาดโอกาสตั้งแต่ครึ่งแรก เราควรยิงประตูได้มากกว่านี้” อาโมริม กล่าวหลังจบเกม

ตัวเลข xG สะท้อนปัญหาการปิดเกม

ปัญหาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ปรากฏแค่ในสนาม แต่ยังสะท้อนผ่านสถิติอย่างชัดเจน ฤดูกาลนี้ ปีศาจแดงมีค่า non-penalty expected goals (xG) ติดลบถึง 3.2 ในสถานการณ์ที่เป็นฝ่ายขึ้นนำ ซึ่งถือว่าแย่ที่สุดในพรีเมียร์ลีกสำหรับทีมที่อยู่ในสถานะ “กำลังชนะ”

การไม่สามารถยิงประตูเพิ่ม ทำให้คู่แข่งยังคงมีชีวิตอยู่ในเกม และคุกคามความพยายามทั้งหมดที่แมนยูสร้างมาตั้งแต่ต้น

น่าสนใจว่า จาก 16 นัดในพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตูขึ้นนำได้ถึง 11 เกม และใช้เวลาประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของเวลาการแข่งขันในสถานะผู้นำสกอร์ ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงเป็นอันดับสามของลีก รองจากอาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ปัญหาการครองบอลและการหมุนเวียนเกม

แม้จะขึ้นนำบ่อย แต่การควบคุมเกมกลับไม่ตามมา แมนยูมักไม่ลดจังหวะ ไม่เน้นการครองบอลเพื่อฆ่าเวลา และไม่รอจังหวะที่เหมาะสมในการโจมตี แต่กลับเล่นด้วยความเร็วเท่าเดิม

จากข้อมูลการต่อบอลแบบโอเพ่นเพลย์ที่มี 10 จังหวะขึ้นไป แมนยูทำได้เพียง 4.4 ครั้งต่อ 90 นาที ในช่วงที่นำสกอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขที่ต่ำที่สุดของลีก

ความเสี่ยงจากเกมโต้กลับ

การครองบอลระยะสั้นทำให้แมนยูเสียบอลง่าย และต้องเผชิญกับเกมโต้กลับอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การที่บอลถูกส่งขึ้นหน้าเร็วเกินไป ยังทำให้โครงสร้างการป้องกันในจังหวะเปลี่ยนเกม (rest-defence) ไม่พร้อม

ในฤดูกาลนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสียโอกาสจากเกมโต้กลับถึง 2.8 ครั้งต่อ 90 นาที ในสถานการณ์ที่นำสกอร์ ซึ่งเป็นสถิติแย่อันดับสามของพรีเมียร์ลีก

สไตล์การเล่นที่ต้องหาความสมดุล

อาโมริม ย้ำว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเข้าใจเกม และการเลือกเล่นให้เหมาะกับแต่ละช่วงเวลา บางครั้ง การปิดเกมอย่างมีประสิทธิภาพ อาจสำคัญไม่แพ้การบุกอย่างดุดัน

“มันคือเรื่องของความเข้าใจเกม และการเล่นให้เหมาะกับช่วงเวลาที่แตกต่างกัน บางครั้ง การรู้จักปิดเกมให้ดี สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อทุกสิ่งที่เราทำได้ดีอยู่แล้ว” กุนซือชาวโปรตุเกส กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากต้องการกลับมาลุ้นความสำเร็จอย่างจริงจัง การเรียนรู้วิธีรักษาความได้เปรียบ และควบคุมเกมหลังขึ้นนำ อาจเป็นบททดสอบสำคัญที่สุดของฤดูกาลนี้

อ่านด้วย :