ค่ำคืนนั้นในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย คือหนึ่งในช่วงเวลาที่แฟนบอลเชลซีไม่มีวันลืม ค่ำคืนที่ชัยชนะอยู่แค่เพียงปลายเท้าเดียว แต่กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันจางหายไปจากใจของจอห์น เทอร์รี่ และเหล่า “เดอะ บลูส์“
ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายบนสนามลุชนีกี สเตเดี้ยม จอห์น เทอร์รี่ ยืนอยู่บนจุดโทษ ท่ามกลางแรงกดดันมหาศาลจากทั้งแฟนบอลในสนามและผู้ชมทั่วโลก ถ้าเขายิงเข้า เชลซีจะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร และเขาจะกลายเป็นกัปตันผู้พาทีมสู่จุดสูงสุดของยุโรป
แต่โชคชะตากลับเลือกเล่นตลก—เท้าของเขาลื่นขณะยิง บอลพุ่งชนเสา และโอกาสทองก็หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา
รอยร้าวในฝันแรกของเชลซี
ศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ ปี 2008 เป็นการดวลกันระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ—แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ทำให้เป็นครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ที่สองทีมจากชาติเดียวกันเข้าชิงกันเองในเวทียุโรป
แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประตูนำจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่ แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็ยิงตีเสมอให้เชลซีก่อนจบครึ่งแรก เกมดำเนินไปอย่างตึงเครียด โดยมีเหตุการณ์ดราม่าเกิดขึ้นเมื่อดิดิเย่ร์ ดร็อกบา โดนไล่ออกจากสนามในช่วงต่อเวลาพิเศษ
การตัดสินแชมป์จึงต้องไปถึงการดวลจุดโทษ และเมื่อโรนัลโด้ยิงพลาด เชลซีก็ได้เปรียบ จอห์น เทอร์รี่ เดินขึ้นมายิงเป็นคนที่ห้า หากเขาทำได้ เกมจะจบลงทันที…แต่เขากลับลื่นและพลาด เปลี่ยนตำนานให้กลายเป็นโศกนาฏกรรม
เมื่อผู้นำกลายเป็นผู้แบกรับความเสียใจ
เบื้องหลังการยิงจุดโทษของเทอร์รี่ มีการเปิดเผยจากอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่างโคล้ด มาเกเลเล่ ว่าจริงๆ แล้วตามแผนเดิม นักเตะที่ควรจะรับหน้าที่ยิงคนสุดท้ายคือ ซาโลมง กาลู ไม่ใช่เทอร์รี่
“เราได้วางแผนไว้แล้วว่ากาลูจะยิงลูกสุดท้าย” มาเกเลเล่เล่าในการสัมภาษณ์ “แต่มันกลับเปลี่ยนแปลงในวินาทีสุดท้าย และเทอร์รี่เลือกที่จะรับหน้าที่นั้นแทน”
เขายอมรับว่า “ผมโกรธมากที่เขาพลาด เพราะในฐานะผู้นำ เขาควรจะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อทีม แต่เขาเลือกที่จะเป็นฮีโร่ด้วยตัวเอง ถ้าเขายิงเข้า มันจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่เมื่อไม่สำเร็จ มันก็กลายเป็นเรื่องที่ฝังใจไปตลอดชีวิต”
น้ำตาของกัปตันในคืนที่เปียกฝน
ทันทีที่บอลพุ่งชนเสา เทอร์รี่ทรุดลงกับพื้น สนามเปียกปอนด้วยสายฝน และใบหน้าของเขาเปียกปอนไปด้วยน้ำตา แฟนบอลเชลซีทั่วโลกต่างรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา โอกาสที่สโมสรไล่ล่ามานานแสนนานกลับพังทลายไปในชั่วพริบตา
ในปี 2024 เทอร์รี่ได้ย้อนความรู้สึกนั้นผ่านพอดแคสต์รายการหนึ่งว่า “ผมจำได้ว่าผมยืนอยู่ริมหน้าต่างโรงแรม มองออกไปยังท้องฟ้ามืดมิดในมอสโก แล้วถามตัวเองว่า ‘ทำไม? ทำไมมันถึงเกิดขึ้นในเวลานั้น? ทำไมฝนถึงต้องตก? ทำไมผมถึงลื่น?’”
เขายังเล่าว่าช่วงเวลาที่ยากที่สุดคือเมื่อเขาต้องลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น “ผมโหม่งทำประตูจากนอกกรอบในเกมกับอเมริกา แต่ในใจผมกลับรู้สึกเหมือนพังทลาย เพราะถ้าผมสามารถแลกประตูนั้นกับจุดโทษในมอสโกได้ ผมจะทำทันที…มันเจ็บมากจริงๆ”
บทเรียนจากความกล้าหาญที่กลายเป็นบทโศกนาฏกรรม
ความกล้าหาญของเทอร์รี่ในวันนั้น ไม่ได้ถูกจดจำในฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่ในฐานะตัวแทนของคำว่า “พลาด” โลกฟุตบอลโหดร้ายตรงที่มันจำแม่นในช่วงเวลาที่ล้มเหลวมากกว่าช่วงเวลาที่สวยงาม และการลื่นล้มของกัปตันทีมภายใต้สายฝนกลายเป็นภาพที่ติดตาแฟนบอลทั่วโลก
แม้ว่าในปี 2012 เชลซีจะสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้สำเร็จ โดยมีเทอร์รี่ยืนถือถ้วยแชมป์ในชุดสูทข้างสนาม แต่สำหรับเขาแล้ว มอสโกปี 2008 ยังคงเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันจางหาย
หนึ่งลูกยิง หนึ่งชีวิตที่เปลี่ยนไป
ฟุตบอลคือเกมแห่งช่วงเวลา และบางครั้ง ความแตกต่างระหว่าง “ฮีโร่” กับ “ตัวร้าย” อยู่ที่เสี้ยววินาที จอห์น เทอร์รี่ ผู้เป็นทั้งกัปตัน นักสู้ และตำนานของเชลซี จะไม่มีวันลืมค่ำคืนที่เขาเกือบได้พาสโมสรไปสัมผัสจุดสูงสุดของยุโรป…หากไม่ลื่น
ค่ำคืนนั้นในมอสโก จึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องราวของความพ่ายแพ้ แต่มันคือเครื่องเตือนใจถึงความเปราะบางของความฝัน และพลังแห่งโชคชะตาที่ไม่มีใครควบคุมได้
อ่านด้วย :