ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความกดดันที่แอนฟิลด์ แฟนบอลลิเวอร์พูลต่างจับตามองไปที่ฟอร์มการเล่นของผู้เล่นหลายราย หลังทีมทำได้เพียงเสมอ 1-1 กับซันเดอร์แลนด์ ท่ามกลางคำถามใหญ่เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของทีมชุดปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Virgil van Dijk ปราการหลังระดับตำนานที่เคยเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จมากมายของสโมสร แต่ปัจจุบันกลับไม่เหลือความนิ่งและความดุดันเหมือนเดิมอีกต่อไป
แม้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะถูกจับนั่งเป็นตัวสำรองสองนัดติดต่อกันจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ แต่ในเกมนี้ สายตาของหลายคนกลับเบนไปยังฟอร์มที่น่ากังวลของกัปตันทีมวัย 34 ปี ที่เคยถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก
จากกำแพงเหล็กสู่ความเปราะบาง : ฟอร์มที่ไม่เหมือนเดิมของ Van Dijk
นับตั้งแต่ย้ายจากเซาแธมป์ตันด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ในปี 2018 Van Dijk เคยสร้างชื่อเสียงด้วยพลัง ความนิ่ง และความยากในการผ่าน แต่ในฤดูกาลนี้ ภาพเหล่านั้นเริ่มเลือนรางลงทีละน้อย
-
การจับบอลพลาดหลายครั้ง
-
การออกตำแหน่งที่อ่านเกมพลาด
-
จังหวะตัดสินใจที่ช้าเกินไป
-
ภาพรวมเกมรับที่ไม่มั่นใจเหมือนเดิม
หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนคือการทำแฮนด์บอลอย่างตื่นตระหนกในเกมพบพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รวมถึงจังหวะเสียบอลและหันหลังให้ลูกยิงของ Chemsdine Talbi จนทำให้ซันเดอร์แลนด์ออกนำ 1-0 ในนาทีที่ 67 ซึ่งเป็นภาพที่แฟนบอลแทบไม่เคยเห็นมาก่อนจากกองหลังระดับนี้
อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ Steph Houghton แสดงความคิดเห็นผ่าน BBC ว่า
“เขามอบบอลให้คู่แข่งง่ายเกินไป และจังหวะถอยแบบนั้นคือการตัดสินใจที่ผิด เขาควรเข้าหาบอลมากกว่า ไม่มีใครรู้ว่าต้องทำอะไรต่อเมื่อกัปตันลังเลแบบนี้”
ด้านอดีตมิดฟิลด์ลิเวอร์พูล Jamie Redknapp ก็เสริมว่า
“ฤดูกาลที่แล้ว Van Dijk แทบไม่เคยผิดพลาด แต่ตอนนี้เขาเล่นแบบไม่มีความมั่นใจเลย”
สัญญาใหม่ แต่ผลงานสวนทาง
ทั้ง Van Dijk และ Salah ได้รับสัญญาใหม่สองปีเมื่อซัมเมอร์ แต่แทนที่จะเป็นข่าวดี กลับกลายเป็นคำถามว่าทีมควรลงทุนกับผู้เล่นอายุเกินสามสิบหรือไม่ เพราะทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงขาลงพร้อมกัน
โครงการปรับโครงสร้างทีมของผู้จัดการทีม Arne Slot และฝ่ายรีครูตมูลค่า 450 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา ก็ยังไม่แสดงผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง เกมรับของลิเวอร์พูลกลับมีช่องโหว่มากกว่าเดิม
ความเป็นผู้นำที่หายไป
หนึ่งในจุดเด่นที่สุดของ Van Dijk คือความเป็นผู้นำที่สงบนิ่งและสร้างความมั่นใจให้เพื่อนร่วมทีม แต่ในซีซันนี้ เขาดูเฉื่อยชา ปล่อยให้เกมหลุดการควบคุม และไม่สามารถพยุงผลงานของแนวรับได้เหมือนเก่า
ข้อมูลสถิติต่าง ๆ ก็สะท้อนปัญหา:
-
จำนวนการสกัดและดักบอลลดลงชัดเจน
-
อัตราการยืนตำแหน่งผิดพลาดเพิ่มขึ้น
-
การเรียกความมั่นใจของทีมในช่วงเวลายากลำบากลดลง
ภาพการถูกถอยขึ้นไปยืนเป็นกองหน้าจำเป็นก็เป็นสัญลักษณ์ชัดเจนของความไร้ทางออกในเกมรุกและเกมรับของลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูลที่ไร้แนวทาง และซันเดอร์แลนด์ที่เล่นด้วยหัวใจ
แม้ Slot จะส่งชุดผู้เล่นเดิมที่เพิ่งหยุดสถิติแพ้อย่างต่อเนื่อง แต่ลิเวอร์พูลยังคงขาดความสดและไอเดียในการขึ้นเกม แม้ซาลาห์จะถูกส่งลงมาในครึ่งหลัง แต่ก็ไม่สามารถพลิกเกมได้
กว่าที่ทีมจะตีเสมอได้ก็ต้องอาศัยลูกยิงของ Florian Wirtz ที่แฉลบ Nordi Mukiele เข้าประตูในนาทีที่ 81
ช่วงท้ายเกมกลับเป็นลิเวอร์พูลที่เกือบเสียประตูอีกครั้ง โชคดีที่ Federico Chiesa วิ่งลงมาบล็อกลูกยิงของ Wilson Isidor ได้หวุดหวิด และก่อนหน้านั้นทีมก็รอดจากลูกยิงชนคานและเสาชนิดหวุดหวิดหลายครั้งจากซันเดอร์แลนด์
ฝั่งผู้มาเยือนควรได้รับคำชมเชยอย่างยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นถึงการเสริมทัพที่ยอดเยี่ยม ปรัชญาการเล่นที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นของโค้ช Regis le Bris ซึ่งทำให้ทีมขึ้นมาอยู่ในอันดับ 6 ของพรีเมียร์ลีกอย่างน่าทึ่ง
ความจริงที่ต้องยอมรับ : ลิเวอร์พูลต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
การเสมอในบ้านต่อซันเดอร์แลนด์ไม่ใช่เพียงการทำแต้มหล่น แต่คือสัญญาณชัดเจนว่าทีมกำลังมีปัญหาตั้งแต่โครงสร้างจนถึงคุณภาพรายบุคคล
-
เกมรับไม่มั่นคง
-
ตัวรุกไร้ความเฉียบคม
-
ผู้นำในสนามสูญเสียอิทธิพล
-
คุณภาพทีมไม่สมราคาโปรเจกต์ 450 ล้านปอนด์
สำหรับ Van Dijk นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ต้องทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง เพราะวิกฤติฟอร์มตกในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่เริ่มกลายเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
สรุป
Virgil van Dijk จากผู้ที่เคยเป็นปราการเหล็กจนคู่แข่งแทบไม่สามารถผ่าน กลับกลายเป็นผู้เล่นที่กำลังถูกตั้งคำถามว่าควรยืนเป็นตัวจริงหรือไม่ ฤดูกาลนี้ไม่ใช่แค่บททดสอบของตัวเขา แต่เป็นบททดสอบของโครงสร้างใหม่ของลิเวอร์พูลทั้งทีม
ในเวลานี้ มีเพียงความเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และการคืนฟอร์มของผู้เล่นแกนหลักเท่านั้น ที่จะช่วยให้ลิเวอร์พูลกลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ได้อีกครั้ง
อ่านด้วย :